วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

มาตรฐาน ดีหรือฆ่าเรากันแน่...

ได้รับร่างของมาตรฐานสินค้าที่กำลังผลิตอยู่ตัวนึง...

ของเขาทำกันมาหลายสิบปีแล้ว เพิ่งจะมาตื่นตัวกำหนดมาตรฐาน

ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากจะทำของดีให้ลูกค้าใช้นะครับ
แต่ติว่าของที่ผลิด มันเป็นการซ่อม ไม่ใช่ผลิตของใหม่ทั้งหมด
ไม่ได้ทำเพื่อส่งออก ไม่ได้เอาออกไปขายเป็นหน้าเป็นตาประเทศ
แต่เริ่มมีการกำหนดมาตรฐาน เพื่อให้เท่าเที่ยมของผลิตใหม่...

มองในแง่ผู้บริโภค แน่นอนว่าย่อมได้ประโยชน์
แต่ถ้ามองในแง่ของผู้ผลิต... นับเป็นฝันร้าย...

ถ้าจะบอกว่า ก็ทำให้มันดีสิ ก็อยู่ได้
แต่ปัญหาคือ ถ้าทำดีแล้ว แต่ไม่ได้ไปส่ง lab เพื่อตรวจมาตรฐานล่ะ?

และแน่นอน ตรวจแล้ว ก็ต้องตรวจอีกซ้ำอีกหลายรอบ
รวมถึงอาจจะต้องมีการเสียค่าขอใบอนุญาตมาตรฐานรายปีซ้ำซ้อนอีก
ซึ่งนับว่าเป็นค่าใช้จ่ายแอบแฝงที่เพิ่มขึ้นอีกพอสมควร ปีละเป็นหมื่นแน่นอน

ไม่มีใครอยากทำของไม่ดีออกขายหรอกครับ
เพราะตอนนี้คู่แข่งก็เยอะจนไม่มีที่จะยืนอยู่แล้ว
ถ้าลูกค้าเขาใช้แล้วรู้สึกว่าเราไม่ดี เราสู้เจ้าอื่นไม่ได้ เขาก็จะเลือกซื้อเจ้าที่ดีถูกใจเขาไปเอง

ผมจึงเห็นว่าการกำหนดมาตรฐานทั้งหลาย
เป็นไปเพื่อการกีดกันผู้ประกอบการรายใหม่ที่ไม่มีทุนและความรูุ้สูงพอ ให้ก้าวสู่ธุรกิจนั้นๆ
และเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มนายทุนเก่า ที่มีความพร้อมทั้งเงิน และเทคโนโลยี

ต่อไป เราจะเริ่มธุรกิจใหม่ๆ ยากขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ และเรื่อยๆ...

ยุคของเถ้าแก่ใหม่ หมดลงไปแล้วครับ...

วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ยืดได้ หดไม่ได้...

เจอลูกค้าเก่าหน้ามืดอีกรายละ...

ด้วยความหละหลวม เสมียนเลยปล่อยให้ลูกค้าตีเช็คยืดวันออกไปเรื่อยๆ
จนล่าสุด เครดิต 30 วัน แต่ลูกค้า ยืดออกเป็น 60 ไปแล้วเรียบร้อย
ถ้านับวันวางบิล ก็ปาไป 90 วัน นับจากวันส่งของ

ถ้าต้องส่งของไปแล้ว 90 วันแล้วถึงได้เงิน
ไม่เจ๊งวันนี้ จะเจ๊งวันไหน...

พอเจอเรื่อง เลยให้โทรไปแจ้งลูกค้าว่าเช็คตียาวไป ขอให้ปรับลดลงเหลือเท่าเดิม
ลูกค้าก็หน้ามึน ตอบว่าไม่ได้ "เพราะทำมาแบบนี้ตลอด"
"คุณต้องเพิ่มเครดิตให้เราสิ ไม่ใช่มาลดเครดิตเราแบบนี้"

เยี่ยมเลย... ลูกค้าหมาๆ แบบนี้ สมควรเก็บไว้บูชาไหมครับ

เอกสาร VAT ก็ออกให้ก่อนจะเก็บเงินด้วยซ้ำ
ยังมาเอาเปรียบไม่สิ้นสุดอีก...

ได้ครับ... ถ้าคุยไม่ได้ จะไม่คุยเหมือนกัน
เลิกพูด เลิกส่งของให้ด้วย หมดเดือนให้เช็คเข้าบัญชีหมด ค่อยมาว่ากัน

ระวังการตีเช็คของลูกค้าให้ดีครับ เช็ควันที่ให้ตรงตามข้อตกลง
เพราะถ้าคุณหยวน... จากยืด 5 วัน จะกลายเป็น 10, 20, 30 วันในที่สุด

อย่าใจดีจนเกินไป... ธุรกิจ ก็คือธุรกิจ...
หยวนบางที แต่ไม่ใช่ตลอดไป... เราจะโดนเอาเปรียบ...

วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ทุ่มตลาดแบบนี้ เราก็ตายสิครับ…

ในการทำธุรกิจที่มีผู้เข้าร่วมในตลาดหลายราย

มันก็คือสงคราม…

และกลยุทธ์ที่มักเจอบ่อยมากที่สุดอันหนึ่งก็คือ

การทุ่มตลาด…

พูดง่ายๆ คือรายใหญ่ที่ทุนหนา สายป่านยาว
จะมีอำนาจต่อรองสูงกว่ารายเล็กๆ ทุนน้อยๆ

เขาสามารถหาวัตถุดิบได้ถูกกว่า
เขาผลิตด้วยประสิทธิภาพที่ดีกว่า
เขาผลิตด้วยปริมาณที่มากกว่า
เขาจึงสามารถกดราคาได้ถูกว่า

แล้วทีนี้ด้วยว่ามีทุนมากกว่า มีเงินหมุนแบงค์เยอะกว่า
คราวนี้ก็สามารถให้เครดิตลูกค้าใด้มากกว่า ยาวกว่า เยอะกว่า

พอลูกค้าเจอคนให้เครดิต แถมขายถูกกว่า
ใครจะไม่เลือกซื้อกับรายใหญ่ล่ะครับ

และยิ่งถ้าความได้เปรียบนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
ถึงจุดหนึ่ง รายใหญ่จะกลายเป็นผู้กำหนดราคาและทิศทาง

สุดท้ายรายเล็กๆ ก็จะค่อยๆ สายป่านขาด ล้มหายตายจาก

เพราะทำออกมาดีๆ ก็มาเจอรายเล็กๆที่เกิดใหม่มาตัดราคากันเองอีก
หรือจะทำให้ถูก ก็ลดราคาสู้รายใหญ่ๆไม่ได้อีก

สุดท้าย เจ๊ง ม้วนเสื่อกลับบ้าน…

เหลือรายใหญ่จริงๆ สองสามราย สบายแฮร์…

วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ผัวเมีย…

ถ้าจะนับความเสี่ยงต่อการเอื้อประโยชน์ให้กัน
ผมก็ยังไม่เห็นว่าความสัมพันธ์อื่นใดที่จะอันตรายเท่า ผัว-เมีย

ดั่งคำโบราณว่า คนนอนพูดมันเสียงดังกว่าคนนั่งพูด
คนที่นอนด้วยกันทุกวัน พูดอะไรก็มักจะมีผล…

ดั่งว่า… กิจการทั้งหลายจึงไม่ควรที่จะรับคนที่เป็นคู่ผัวเมียกันเข้ามาทำงานด้วยกัน

คู่ยอดฮิตที่มักจะพบเจอคือ

เมียเป็นฝ่าย stock ผัวเป็นเซลล์หรือพนักงานส่งของ
เมียเป็นเสมียน ผัวเป็น stock

หรืออะไรทำนองนี้ ซึ่งเป็นการจับคู่ที่อันตรายมากๆ
เพราะจะเอื้อให้เกิดการ โกง ได้แบบง่ายๆ และเนียนๆ…

เช่น เมียคุม stock ก็ออกเอกสารไม่ตรงความจริง
ผัวก็เป็นคนรับส่งของก็ยักยอกเอาส่วนเกินออกไป

เมียเป็นฝ่ายจัดซื้อ ก็จัดการแจ้งราคาเกินความจริง
แล้วผัวที่เป็น messenger ก็จัดการจัดหาแล้วหักเงินส่วนเกินเข้ากระเป๋า

ซึ่งผมเห็นมาหลายบริษัทแล้วที่มีกรณีแบบนี้
ไม่ว่าจะเล็กใหญ่ ก็มักจะมีการรั่วไหลทำนองนี้ไม่มากก็น้อย

ลำพังไม่มีคู่ผัวเมีย ก็มีการรั่วอยู่แล้วโดยธรรมชาติ

ถ้ายิ่งมีคู่ผัวเมียแบบนี้อยู่ด้วย ก็ยิ่งขอเตือนให้ระวังให้จงหนัก…

คนเราบางคนก็ไม่ได้ชั่วโดยกำเนิด
แต่เพราะโอกาสและอำนาจมันล่อใจ ก็อาจจะพาให้ถลำลึกได้

ดังนั้น ถ้าเป็นเจ้านาย เลือกได้ ก็ตัดไฟแต่ต้นลม

ถ้ามีฝ่ายใดทำงานอยู่กับตัวอยู่แล้ว ก็อย่ารับอีกฝ่ายเข้ามา
จะอ้างเหตุผลประการใดก็เรื่องของคุณ

แต่เพื่อผลแห่งความสบายใจระยะยาว

ผมขอเตือน…

วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ญาติ…

ญาติ เป็นคำต้องสาป อีกคำของธุรกิจ

ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดไหน ใหญ่หรือเล็ก
มันจะห่วยก็เพราะญาติ มันจะเจ๊งก็เพราะญาติ

จำเอาไว้ อย่ารับญาติตัวเองมาทำงาน
ไม่ว่าจะญาติผู้ใหญ่ หรือญาติผู้น้อย
ญาติในใส้ หรือญาตินอกใส้

เพราะมันจะนำมาซึ่งปัญหาเล็กใหญ่ไม่สิ้นสุด

ขึ้นชื่อว่าญาติ พอมาทำงานมักจะมีความเชื่อฝังหัวว่า "ข้าคือคนพิเศษ"

มักจะทำงานขยันแค่ช่วงแรกๆ แล้วก็จะเริ่มเช้าชามเย็นชาม
เพราะคิดว่า ทำยังไงเขาก็ไม่ไล่กูออก

และยิ่งถ้าเป็นญาติผู้ใหญ่ ครั้นเราจะไปสั่งอะไรก็มีความเกรงใจอยู่
ทำให้เสียการปกครอง ลูกน้องก็จะเอาเยี่ยงอย่าง สั่งอะไรก็ไม่เคารพเราอีก

และหนักกว่านั้น พอทำไปนานๆ เริ่มสะสมบารมี
เริ่มตั้งตนเป็นหัวหน้าในลำดับขั้นที่ตัวเองทำงานอยู่ โดยอาศัยคำว่า "ญาติ"

แล้วขั้นต่อไปคือการ ฉ้อฉล โกงองค์กรที่ตัวเองทำงานอยู่
หรือพูดง่ายๆ ว่า โกงญาติตัวเองนั่นแหละ

โดยอาศัยช่องทีว่า คนเรามักคิดว่า "ญาติพี่น้องกัน เขาไม่โกงกันหรอก"

ซึ่งไม่จริง…

ญาติกันนี่แหละตัวดี จะเอาเปรียบเราเป็นคนแรก และโกงเรามากที่สุดในตอนท้าย

ดังนั้น ตัดไฟแต่ต้นลม อย่ารับญาติมาทำงานด้วย
ถ้าเขาลำบากอยากช่วย สู้ให้ยืมเงินไปทำอะไร แล้วแกล้งลืมไปซะ
เพราะยังไง ก็ไม่ได้เงินคืน…

ทีเดียวจบ ดีกว่ามานั่งปวดหัวระยะยาว

เชื่อผมเถอะ…

วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2552

อย่าทำกงสี…

กงสี คือภาษาจีน หมายถึงระบบที่พ่อเป็นเจ้าของกิจการ
แล้วก็ดูแลเมียลูกโดยทุกคนกินเงินส่วนกลางของพ่อหมด

กงสี เป็นคำต้องสาป ที่ผมขอบอกให้กับทุกคนรู้และจำไว้ว่า

ถ้าเลือกได้ อย่าทำ

อย่าใช้ระบบกงสีกับครอบครัวหรือกิจการตัวเองเด็ดขาด

เพราะโลกนี้ไม่มีความยุติธรรม
พ่อแม่ก็รักลูกไม่เท่ากัน ลูกแต่ละคนก็โลภไม่เท่ากัน

ต้องมีใครได้มาก ต้องมีคนได้น้อย

และสุดท้าย ผลสรุปของระบบกงสีที่เราเห็นกันคือ
กิจการตายไปพร้อมพ่อ และลูกหลานก็ฆ่ากันแย่งสมบัติ

ถ้าจะทำ ต้องแบ่งสมบัติทุกอย่างให้ลูกหลานเท่าๆ กัน เป็นลายลักษณ์อักษร

และพอลูกโด ต้องปล่อยให้ออกไปหางานทำของตัวเอง
อย่าได้ยึดเหนี่ยวลูกเอาไว้เป็นสมบัติของตัวเด็ดขาด

เพราะถ้าเด็กคนนั้น หรือกลุ่มนั้นโตขึ้นมา
โดยที่ไม่มีโอกาสได้ใช้ความรู้ความสามารถ มีประสบการณ์ทำงานติดตัว

เขาจะเป็นคนแก่ที่สมัครงานไม่ได้ เงินทองก็ไม่มี
และจะน่าสงสารมาก

ดังนั้น กงสี เป็นระบบของคนเห็นแก่ตัว
หวังแต่จะให้มีคนอยู่กับตัวเองตอนแก่ โดยไม่เห็นแก่อนาคตลูกหลาน

อย่าทำ อย่าทำ…

วันพุธที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2552

เมื่อธุรกิจมันห่วย!…

ครับ เมื่อธุรกิจมันห่วย และมันทำอะไรไม่ได้

เราต้องบ่น!

ขอแนะนำ blog ใหม่ในเครือ

When business is suck! (Yes, It really suck!)
http://businesssuck.blogspot.com/

เปิดขึ้นมาเพื่อเก็บประสบการณ์การทำงาน
สิ่งที่ได้พบเห็น และไม่อยากที่จะปล่อยผ่านไป

เน้นมุมมองของเจ้าคนนายคน และนายจ้าง
ซึ่งคงจะตรงข้ามขัดอกขัดใจเหล่าลูกจ้างอย่างเราๆ

แต่ผมว่ามันมีประโยชน์ครับ

อะไรที่มีคนทำผิดแล้วแล้วมาบอกเพื่อไม่ให้เราผิดซ้ำ
เขาเรียกว่าประสบการณ์

และประสบการณ์นี่แหละ ที่หาซื้อยากที่สุด…

แท็กของ Technorati: {กลุ่มแท็ก},,,,,

บ้านฟรี…

ว่าด้วยเรื่องคนงานกับบ้านให้อยู่ฟรี…

พอเราสร้างบ้านให้อยู่ฟรี ด้วยสงสารจะช่วยเหลือ
แรกๆ ก็น้ำไฟใช้ฟรี เพราะเห็นว่าไม่ค่อยจะมีเงิน

หลังๆ ชักจะเห่อเหิมเกินงาม ถอยเครื่องใช้ไฟฟ้ามาเพียบ
ไหนจะเครื่องเสียงชุดใหญ่ ทั้งกู้ทั้งผ่อนไม่ดูฐานะ

พอมีก็แข่งกันเปิดเสียงดังรบกวนชาวบ้านให้เขาด่า

เตือนก็ไม่จำ เพราะกะโหลกหนาปัญญาทึบ
จำได้สองวัน วันที่สามมันก็เมาเปิดดังเหมือนเดิม…

พอเห็นปัญหาชักเยอะ ก็เริ่มเก็บค่าน้ำค่าไฟเสียหน่อย
หวังเป็นการปรามทางอ้อม เก็บแค่ถูกๆ ให้รู้จักประหยัด

ที่ไหนได้ ไปๆมาๆ รวมหัวกันต่อสายตรงใช้ไม่ผ่านมิเตอร์ได้อีก
สันดานโจร จิตใจต่ำจริงๆ

แล้วพอไม่เก็บค่าเช่า ก็คิดว่าไม่ใช่บ้านของตัว
ใช้จนเละ ห้องน้ำก็ไม่ล้างไม่ทำความสะอาด

แถมตอนจะออกงานไป รื้อสายไฟหลอดไฟขโมยไปด้วยอีก
สันดาน สันดาน

อยู่ด้วยกันเยอะๆ ก็เขม่นกัน เมาเหล้าทะเลาะกัน

บางวันก็ผัวเมียตีกัน ไล่ทุบห้องชาวบ้านเดือดร้อนไปหมด

จำไว้ ถ้าไม่จำเป็น และเลือกได้

อย่าได้ริอ่านทำบ้านทำห้องให้คนงานขายแรงงานอยู่ฟรี หรือเช่าถูกๆ

เพราะมันจะวิบัติ และมีแต่ปัญหา ไม่จบสิ้น…

วันอังคารที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2552

เอาเปรียบไม่สิ้นสุด…

ลูกค้าหลายราย มักจะมาหาเราถึงที่เพื่อซื้อของครั้งแรก

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลต่างๆ เช่น

  • อยากดูสถานที่ว่าทำเองจริงมั๊ย
  • อยากเลือกดูสินค้าด้วยตัวเองก่อนซื้อ
  • อยากต่อรองราคากับเจ้าของ
  • ฯลฯ

พอมาต่อรองราคาได้เท่าไหร่ อย่างเช่น
จ่ายสด มาซื้อถึงที่ ขอลด 10% นะ

ทีนี้ทางผู้ขายก็จะโอเค เพราะเห็นว่ามารับของเอง แถมจ่ายสด
ลดเอากำไรน้อยหน่อย ก็เป็นทางออกที่ win-win

ถ้าเรื่องมันจบแบบนี้ หรือเป็นแบบนี้ไปตลอดก็ดีสิ

แต่เปล่าเลย ลูกค้าพวกนี้จะหายไปนานมาก
แล้วโผล่มาอีกทีด้วยแนวใหม่

คือโทรมา พร้อม fax แผนที่ร้านตัวเองมาด้วย
โดยขอให้ไปส่งให้หน่อย แต่

ราคาเดิมนะ ลดเท่าเดิมด้วยนะ บริการเราหน่อยนะ เราไม่มีคนไปเอาจริงๆ
แต่ขอราคาเท่าเดิมนะ นะ นะ…

อีเห็ดสด…

ไอ้ที่เคยลดให้น่ะ เพราะมาเอาเอง
ถ้าต้องไปส่งเสียค่าน้ำมันเพียบ แถมสั่งของนิดเดียว แล้วจะลดทำพรือ?

เก็บของเอาไว้ดูเล่นดีกว่านะผมว่า อย่างน้อยก็ไม่ขาดทุน
ของไม่เสียไม่เน่า ไม่ได้ขอข้าวเรากินสักหน่อย

ลูกค้าที่สั่งทีเยอะๆ พร้อมจะจ่ายสด ลดน้อยกว่า แถมไม่เรื่องมาก เพียบ…

อยากได้ถูกกว่านี้ แต่ดีเท่านี้ ก็ไปรอชาติหน้าเหอะ
ซื้อของห่วยๆ ถูกๆ เจ้าอื่นไปก่อนก็แล้วกัน…

วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เข้าช้า ออกเร็ว…

สิ่งน่าเบื่อที่สุดอีกอย่าง ในการมีลูกน้องคือ

การที่ต้องมานั่งดูว่า คนไหนจะเข้างานกี่โมง จะออกงานกี่โมง

เพราะต่อให้มีบัตรตอก แต่ถ้าไม่เอามาใช้บังคับจริงจัง มีก็เหมือนไม่มี

และคนพวกนี้ พร้อมจะเข้าสาย และออกก่อนเวลาได้เสมอ
ไม่ว่าเราจะเมตตา ทำดีกับลูกน้องแค่ไหนก็ตาม

ดังนั้น ถ้าอยากจะมีลูกน้อง ก็ต้องตื่นก่อนเขา เลิกงานหลังจากเขา
ไม่งั้นเขาก็ทำงานให้เราไม่เต็มที่

หายากมากที่ใครจะโชคดี เจอลูกน้องดี ขยัน ไว้ใจได้ ไม่โกง…

ทำใจ และจำไว้…

วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ต้องสั่ง...

ทำอะไรต้องสั่งต้องบอกตลอด

ไม่รู้ตอนคลอดลืมเอาสมองออกมาด้วย หรือกินอะไรแทนข้าว

คือบางคนจะเป็นพวกไร้สามัญสำนึกมากๆ
ทำงานแบบเอาขี้เกียจเข้าว่า เอาสบายเข้าว่า

ไม่ดูเงื่อนไข เวลา โอกาส สถานที่ ใดๆทั้งสิ้น

เรื่องไหนที่นอกเหนือหน้าที่ กูไม่ทำ
ทำแล้วไม่ได้เงิน กูก็ไม่ทำ...

นี่แหละ คนพวกนี้มันถึงได้ไม่พัฒนาไปทางไหน
จมปลักเป็นชนชั้นแรงงานไปจนตาย...

วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

วงจรความเงียบ…

จะเงียบไปไหน…

เศรษฐกิจแย่ มันก็แย่หมดทั้งระบบจริงๆ

มันเหมือนเป็นลูกโซ่ งูกินหาง
ที่พอมีคนแย่ มันก็พาแย่ต่อเนื่องกันไปทั้งหมด

คนไม่มีเงินซื้อของ คนขายก็ขายของไม่ได้
ลุกจ้างก็โดนปลด คราวนี้คนก็ยิ่งไม่มีเงินกันใหญ่

บริษัทห้างร้านทั้งหลาย ก็ตัดงบ ประหยัดกันใหญ่
ไม่ยอมซื้อของอะไรมากเท่าเดิม

จากที่เคยซื้อของบ่อยหน่อยเพื่อรักษาประสิทธิภาพ
ก็กลายเป็นใช้ให้มันพังให้มันวิบัติ เพื่อประหยัดคำเดียว

แล้วพอเป็นอย่างนี้กันหมด ก็เลยกลับมาสู่วงจรเงินฝืดเช่นเดิม

และก็เงียบเป็นป่าช้าเหมือนเดิม…

นั่งเฝ้าร้านแต่ละวัน ไม่มีคนเขามาซื้อเลย ให้ตายเถอะ
ดอกเบี้ยธนาคารเขาไม่ได้ลด ไม่ได้หยุดตามลูกค้านะครับ

สุดท้ายถ้าไม่มีเงินมาหมุนเวียน OD ก็ล้น ดอกเบี้ยก็บาน

และในที่สุด ใครสายป่านสั้น ก็จบ อยู่ไม่ได้เจ๊งกันไป…

แบ่งเช็ค...

สั่งซื้อของ สั่งได้
ตอนอยากได้ของ เร่งจัง เร่งจริง

พอถึงตอนจ่าย โทรมาบอก กลัวเช็คเด้ง ขอแบ่งเช็คเป็น 2 ใบ
ใบแรก จ่ายก่อนถึงดิวเล็กน้อย
แต่ใบสอง จ่ายเลยดิวไปนิดนึง…

ฟังเหมือนจะดี แต่ดันทำให้เราได้เงินช้ากว่าเดิม
แล้วถ้าเราจำเป็นต้องใช้เงินก้อนล่ะ? ซวยสิ

จะไม่ว่าเลยถ้านานๆที แต่นี่ ทำทุกเดือน… เวร…