วันอังคารที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2556

การตั้งข้อสงสัยการโกง

จากการเก็บตัวอย่าง และวิเคราะห์ตามหลักจิตวิทยา ผมสรุปออกมาได้ว่า
- คนที่ทำงานหนักที่สุด = โกงมากที่สุด
- คนที่ทำงานน้อยที่สุด = โกงเนียนที่สุด
- คนที่ทำงานเรื่อยๆเปื่อยๆ = โกงน้อยที่สุด

เพราะคนที่ทำงานหนัก ถ้าไม่ใช้เพราะอุปนิสัยที่ซื่อตรงจนเกินไปแล้วล่ะก็ บางทีเขาอาจจะกำลังทำเพื่อกลบเกลื่อน หรือชดเชยความน่าสงสัย หรือความรู้สึกผิดในใจตัวเองอยู่ก็ได้

คนที่ทำงานน้อยที่สุด แน่นอนว่าจะแนวโน้มชอบเอารัดเอาเปรียบคนอื่นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ดังนั้น ไม่แปลกที่คนพวกนี้จะมีเวลา และเอาเวลาไปเพื่อการวางแผ่นการโกงให้แบบเนียนที่สุด และเอาไปในระดับที่ไม่แพ้คนแบบแรก

ส่วนคนที่ทำงานเรื่อยๆ เปื่อยๆ ยอมมีแนวโน้มมีอุปนิสัยไม่ค่อยดิ้นรน ไม่ทำงานอะไรเกินหน้าที่ ค่อนข้างกลัวความเปลี่ยนปลง ดังนั้นย่อมไม่ค่อยจะกล้าโกงหรือยักยอกด้วยตนเอง แต่โดยมากถูกคนประเภทที่สองนั่นหลอกใช้อีกต่อ

เพราะฉะนั้น การมีกิจการ หรือเป็นนายจ้าง ยังไงเสียก็ไม่มีวันรอดพ้นการโดนยักยอก การโกง และหักหลัง สิ่งทีทำได้คือเล่นไปตามบท ปิดตาข้างเดียวบ้าง ดีบ้าง ร้ายบ้าง ซึ่งก็คงจะต้องแล้วแต่กรรมเวร
ของใครของมันที่ทำกันมา

ก็ขอให้โชคดี อย่าโดนโกงจนทุนหายกำไรหด หมดเนื้อหมดตัว อะไรระวังได้ก็ควรระวัง

อย่าไว้ใจใคร แม้แต่ตนเอง...

วันเสาร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2555

โทษฐานที่รู้จักกัน...

ขึ้นหัวเรื่องเลียนแบบชื่อหนังสือของคนอื่นบ้างอะไรบ้าง...

พวกพนักงานที่ไม่ค่อยจะมีอนาคตเท่าไหร่ จะมีชุดความคิดอย่างหนึ่งที่เหมือนๆกันคือ
"เจ้านายรวยแล้ว เอาไปแค่นี้ไม่เป็นไรหรอกน่า"
"ก็เขาไม่ว่า แสดงว่าฉันทำได้"

ซึ่งผมเห็นว่าเป็นเรื่องของ "โทษฐานที่รู้จักกัน"​
อาศัยว่าทำงานมานาน เริ่มรู้จักกับเจ้านาย
เร่ิมคุ้นชินกับการละเลยกฎระเบียบในองค์กร

แน่นอน..​. เริ่มหมดความเกรงใจ
และเริ่มจะมองหาความเอาเปรียบนายจ้าง
เพราะคิดว่าเจ้านายรวยกว่าตัวเองเป็นความไม่ยุติธรรม
คิดว่าตัวเองสมควรรวยเหมือนเขา เริ่มคิดว่าโลกไม่เป็นธรรม

นั่นแหละ ก็เริ่มจิ๊กของ เริ่มอู้งาน เริ่มละเมิดระเบียบ

และก็นั่นแหละ นิสัยของพวกที่ไม่มีวันเจริญ...

วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2554

อย่าว่าแต่กลัวเลย เกรงใจยังไม่มี

คนสมัยนี้มีนิสัยใจคอผิดไปจากสมัยก่อนมากๆ

ถ้าเป็นสัก 40 ปีก่อน ขึ้นไป
ความสัมพันธ์ระหว่าง นายจ้างกับลูกจ้าง จะเป็นไปในแบบที่เจ้านายคือผู้มีพระคุณ มีอำนาจเด็ดขาด สั่งอะไรก็ต้องทำ ด่าก็ต้องฟัง ต้องอดทนอย่างเดียว ลูกน้องนี่อย่าว่าแต่เถียงต่อหน้าเลย แม้แต่นินทาลับหลังก็ยังไม่ค่อยกล้า

แต่พอมาสัก 20 ปีก่อน
ลูกน้องจะเริ่มเป็นพวกคนเริ่มมีการศึกษาปานกลาง เจ้านายสั่งก็ยังฟังอยู่ แต่เริ่มทำบ้างไม่ทำบ้าง ถึงยังไม่กล้าเถียง แต่ก็เอาไปนินทาลับหลังกันสนุกปากได้แบบไม่รู้สึกอะไร

พอมาสมัยนี้เหรอ
ลูกน้องพวกนี้ ก็เรียนเท่าเดิมนั่นแหละ แต่รู้มากขึ้นเพราะโอกาสเข้าถึงความรู้ต่างๆมันง่าย พวกนี้จะไม่ประมาณตัว ตีตนสูงกว่าความเป็นจริง ไม่มีความเคารพเกรงใจเจ้านายอีกต่อไป เถียงเจ้านายนี่เป็นเรื่องปกติ ลับหลังไม่ใช่แค่นินทา แต่ด่าขุดโคตรเหง้าสักหลาดกันเลย แถมพากันรวมหัวนินทาเจ้านายลามปามสนุกปาก
ทำงานก็แย่ คิดแต่จะรวยทางลัด โกงได้ก็โกง ขโมยได้ก็ขโมย เหมือนเลี้ยงโจรไว้ในบ้าน

กำลังคิดว่า ถ้าต้องจ่ายเงินให้ แล้วยังต้องเจอพฤติกรรมแบบนี้ จะจ้างทำไม
พวกกิจการขนาดเล็กที่ต้องปฏิสัมพันธ์กับลูกน้องใกล้ชิด นับวันยิ่งต้องปวดหัวกับทัศนคติห่วยๆ ของคนสมัยนี้และต่อไปมากขึ้นเรื่อยๆ
พวกกิจการใหญ่ๆ เขามีระบบจัดการคนที่เป็นลำดับขั้น และปลดพนักงานได้ง่ายดายกว่ามาก เขาไม่ปวดหัวเท่าไหร่

คิดว่าต่อไป กิจการเล็กๆ การมีลูกน้องเกิน 2 คน จะเริ่มปวดหัวมากๆ
ถ้าทำเองได้ คงเลือกเหนื่อยกาย แต่สบายใจ จะดีกว่า

วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2554

วงการธุรกิจ ไม่มีหรอกมิตรแท้...

วงการธุรกิจ ถ้ามีสิ่งที่เรียกว่า "ร่วมมือ" กันล่ะก็ มันไม่ใช่การช่วยเหลือแบบการกุศลแน่
มันจะเป็นการเข้าหากันแบบต่างฝ่ายต่างช่วงชิงความเอาเปรียบ

ดังนั้นถ้ารู้ตัวว่าตัวเองอยู่ในฐานะด้อยกว่าเขา เช่นเงินน้อยกว่า แวดวงแคบกว่า
ก็ให้สำเหนียกไว้ว่า การที่เขาเข้ามา เป็นแค่การเข้ามาหาผลประโยชน์แบบเอากุ้งฝอยมาตกปลาใหญ่
ถ้าเขาไม่ได้อะไร เขาไม่มาหรอก

อย่าหลงไหลได้ปลื้ม ไม่ว่าเขาจะดูดี พูดดี หรือร่ำรวยแค่ไหน
ไม่มีทางที่เขาจะไม่เอาเปรียบเรา

วงการธุรกิจไม่มีหรอกมิตรแท้
มีแค่ว่าใครจะตอแหลเก่งกว่ากันเท่านั้นแหละ...

วันศุกร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2553

ภาษีโรงเรือน

ภาษีโรงเรือน เสีย 12.5% ของค่าเช่าต่อปี

ถ้าเช่าที่ทำการค้า เจอเดือนละ 10,000 หนึ่งปีก็ 120,000
ต้องเสียภาษโรงเรือนปีละ 15,000

คิดเป็นค่าเช่าประมาณ เดือนครึ่งต่อปี...

จนบัดนี้ ก็ยังไม่เข้าใจ ว่าภาษีโรงเรือนจ่ายทำไม
ที่ดินก็ซื้อ ตึกก็สร้างเอง ไฟส่องถนนก็แทบจะติดเอง
ไฟฟ้า ประปา ก็จ่ายเอง...

โคตรงง...

วันพุธที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2553

อย่าทำมันเลย โรงงานเนี่ย...

มีลูกบอกลูก มีหลานบอกหลาน อย่าได้ริอ่านทำกิจการโรงงานใหญ่โต
บ้านนี้เมืองนี้ ถ้าไม่รวยให้สุด เป็นแค่ SME ครึ่งๆกลางๆ ทำไปก็มีแต่จนลง

ทำการค้าถูกต้อง ต้องขอใบอนุญาต แต่ขอใบมา แทนที่จะได้รับความสะดวก
กลายเป็นว่า เหมือนไปขึ้นทะเบียนโจร

คราวนี้จะกระดิกทำอะไรก็ต้องขออนุญาตหมด
รายปีต้องจ่าย, ราย 5 ปี ต้องจ่าย, ใช้เครื่องจักรอะไร ต้องแจ้งแล้วจ่าย
มีที่เท่าไหร่ มีหลังคาเยอะมั๊ย ต้องจ่าย, มีป้ายชื่อโรงงานไหม ป้ายใหญ่ มีภาษาอังกฤษ จ่ายหนักหน่อย

พักหลัง เริ่มมีข้อกำหนดแปลกๆ ออกมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
จะซื้อจะเก็บวัตถุดิบบางอย่าง ก็ต้องแจ้งจำนวนทุกเดือน
พอมีของเหลือหรือต้องทิ้ง จะขายทิ้งเลยไม่ได้ ต้องแจ้งอีกว่าทิ้งเท่าไหร่
ทิ้งไม่ดี มีของแปลกๆ อันนี้ต้องจ่ายเพิ่ม

ขนส่งสินค้าเบี้ยบ้ายรายทาง ก็ต้องจ่าย
ลูกน้องก็ต้องจ่าย ลูกพี่ก็ต้องจ่าย เทศบาลก็จ่าย จังหวัดก็จ่าย

งานราษฎร์งานหลวง ก็ต้องจ่าย
เงินเดือนโบนัสลูกน้อง ก็ต้องจ่าย ขายได้ไม่ได้ก็ต้องจ่าย
ลูกน้องไม่ได้ดั่งใจ ประท้วง ตั้งสหภาพ เอ้า ก็ต้องจ่าย

มีแต่จ่าย แต่เคยมีใครถามไหมว่าเจ้าของกิจการมีข้าวกินไหม
ต้องจ่ายดอกเบี้ยธนาคารเท่าไหร่ต่อเดือน
ลูกเมียเขาจะอยู่กันยังไง

ไม่มี...

จ่าย...

วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2553

แฟกซ์มาสิ ยาวๆน่ะ...

แฟกซ์เป็นอุปกรณ์มหัศจรรย์มาก
มันสามารถส่งภาพเอกสารจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งได้ผ่านสายโทรศัพท์

ซึ่งถ้ามันส่งโดยที่ต้นฉบับหายไปมันจะดีกว่านี้มาก

เพราะทุกวันนี้ มันกลายเป็นอุปกรณ์ประหยัดกระดาษของพวกชอบส่ง

  • โฆษณา
  • แบบสอบถาม
  • แคตาลอคสินค้า
  • ฯลฯ เท่าที่จะนึกออก

เพราะไหนจะประหยัดค่าพิมพ์เพิ่ม ค่าเดินทาง
เสียแค่ 3 บาท กระดาษปลายทางก็จ่ายเอง

แฟกซ์มันเข้าไปสิ 5 หน้า 10 หน้า 20 หน้า ไม่เดือดร้อนคนส่งอยู่แล้ว
เครื่องสมัยนี้ ยัดเข้าไปทีเดียว มันก็ทะยอยส่งให้จนหมด

แถมบางรุ่น ส่งผ่านคอมพิวเตอร์ไปยังหลายๆที่ได้แบบอัตโนมัติด้วย
เรียกว่า spam กันชัดๆ แบบไม่ต้องลงทุนอะไรเลยด้วย นอกจากค่าโทร

ถ้าจะส่ง ช่วยส่งเอกสารสำคัญด้วย
ไม่ใช่ ส่งใบปะหน้า ปะหลัง มาว่างๆ สองแผ่น
แล้วก็เนื้อหามีแต่น้ำ หรือมีแต่ภาพดำๆ เต็มแผ่น

มันเปลืองกระดาษทางนี้...